ตามที่สัญญากันไว้ว่าจะชวนพี่สาว Sarasanan Atichaichotikul มาเล่าเรื่องทริป โอมาน ให้ฟัง วันนี้มาทำตามสัญญาแล้ว สวยแบบคนละโลกไปเลย ตามกันไปได้เลย โอ้โห นี่หรือ “โอมาน” “What I talk about when I talk about Oman” ถ้าพูดถึงโอมาน คุณจะนึกถึงอะไร?
สำหรับเราคำนิยามของ โอมาน แว๊บแรกที่เข้ามาในหัวคือ ทะเลทราย อูฐ และอินผาลัม นั่นคือก่อนหน้าที่เราจะได้ไปเยือนประเทศนี้ ประเทศที่ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ในบ้านเรา พอบอกใครต่อใครว่า “เราจะไปเที่ยวโอมานนะ” ทุกคนจะถามกลับมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไปทำอะไร มันมีอะไรให้เที่ยวเหรอ?” เราเองก็ไม่รู้ว่าที่โอมานนั้นมีอะไร เลยต้องไปเพื้อให้ได้รู้ ด้วยความบ้าบอของเรากับพี่สาว อยู่ดีๆก็ชวนกันไปเที่ยวโอมานโดยไร้ซึ่งความรู้ใดๆต่อประเทศแถบตะวันออกกลางประเทศนี้ ตกลงปลงใจซื้อตั๋วเครื่องบินกันก่อนออกเดินทางสามอาทิตย์ และเพราะซื้อตั๋วเครื่องบินโดยไม่ศึกษาสภาพอากาศที่โอมานก่อน แจ็คพ็อตเลยบังเกิด ดันไปในช่วงที่เขาไม่ไปกัน low season แบบโคตรของความโลว์ เพราะเป็นหน้าร้อนของเขา ร้อนแบบที่หนีร้อนจากไทยไปเจอร้อนกว่า(มาก) อุณหภูมิ 40-50 องศา แดดร้อนเหมือนจะเผาให้ละลายลงไปกับดิน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ช่วงที่เราไป เป็นช่วง “รามฎาน” พอดี นั่นหมายความว่า ร้านอาหารทุกร้านปิดหมดตั้งแต่เช้ามืดยันหนึ่งทุ่ม แม้แต่ร้านในห้างก็ไม่เว้น เราจึงต้องพึ่งขนม นม เนย ใน super market กันแทบทุกวัน ร้อนนรกแตกแล้วยังหาของแ_กยากอีก! นี่มันชักจะทรหดเกินไปแล้วรึเปล่าหนอ แค่คิดว่าต้องเจอกับอะไรบ้างก็สนุก(ปนน้ำตา)แล้ว พยายามปลอบใจกันเองสองคนพี่น้องว่า เอาน่า ถือว่าได้ไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ยังไงประเทศเขาก็สวยนะเว้ย ทริปนี้มันต้องสนุกอ่ะแก เชื่อฉัน… หาเหตุผลล้านแปดมาสะกดจิตตัวเองว่ามันต้องดี มันต้องดี ถึงแม้ในใจจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า มันจะโอเคไหมวะ ไอ้ทริปนี้ T-T ยิ่งหาข้อมูลสถานที่เที่ยวก็ยิ่งเป็นกังวล เพราะประเทศนี้ไม่มี public transportation นอกจาก taxi จ้า (จริงๆอาจจะมีแต่เราหาข้อมูลไม่เจอก็ได้นะ) เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะนำเราไปสู่จุดหมายต่างๆที่ตั้งใจไว้ได้คือ เช่ารถขับ ซึ่งที่โอมานมีบริษัทรถเช่าสากลให้เลือกมากมาย อยู่ที่สนามบินมัสกัตเลย แนะนำให้จองรถผ่าน internet ไปก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รถตามต้องการ เอกสารที่ใช้สำหรับเช่ารถ ก็แค่ใบขับขี่สากลใบเดียว กับ credit card แต่เราไม่ได้ทำใบขับขี่สากลไป เลยเช่ารถผ่าน local agent ชื่อ Nomad ราคาอาจจะสูงกว่าพวกบริษัทเช่ารถเจ้าใหญ่ๆ แต่ไม่มีทางเลือก ก็ต้องยอมจ่าย เจ็ดวันในโอมาน เป็นช่วงเวลาที่สนุกและประทับใจกว่าที่คิดไว้ โอมานเป็นประเทศที่สวยมากประเทศหนึ่งที่ควรไปช่วงหน้าหนาว แต่ถ้าอยากซ้อมเดินเล่นก่อนลงนรก แนะนำให้ไปหน้าร้อนแบบเรา เดือนหน้าจะยิ่งร้อนกว่านี้อีก น่าจะ 50 องศาบวกๆ อยู่กันยังไงเหรอคะ น้องสงสัย =.,= ต.ค. – ธ.ค. เป็นช่วง high season ของที่นี่ นักท่องเที่ยวจะค่อนข้างเยอะ และราคาโรงแรมแต่ละที่ก็จะแพงกว่าช่วงที่เราไปพอสมควรเลย สำหรับใครที่คิดว่า โอมาน อาจจะเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป เราก็หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะคะ และนี่ก็คือ “โอมาน” ในแบบฉบับของเรา แล้วโอมานของคุณล่ะ เป็นแบบไหน?
ข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากไปโอมาน :
– คนไทยต้องทำวีซ่า on arrival ที่สนามบิน ราคา 20 OMR/30 วัน (ราคานี้คือราคาล่าสุด)
– ควรเตรียมเอกสารการจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบินไปกลับให้พร้อม ตม ที่นี่ค่อนข้างเข้มงวดกับผู้หญิงไทยมาก และควรจองโรงแรมสี่ดาวขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยว่าเขาจะไม่ส่งเรากลับประเทศ
– ที่นี่ไม่มีหมูให้กินนะจ๊ะ แต่เนื้อแพะอร่อยมว้ากกกกก
– ที่โอมานไม่ support line นะ ใช้ what’s app จะสะดวกกว่า หรือถ้าต้องใช้ line ก็เปิด VPN เอาโลดดดด
– Google map ก็ใช้ไม่ค่อยได้ app มันไม่ navigate ให้ ต้องโหลดแอพชื่อ waze มาใช้ ซึ่งอีเวร (ขอเรียกแบบนี้) มันชอบแนะนำให้ขับรถอ้อมโลกไปไหนไม่รู้ เวรจริงนังเวซ
– ถนนโอมานมีลูกระนาดเยอะมาก ทั้งนอกเมืองและในเมือง ต้องสังเกตป้ายดีๆ ซึ่งบางทีก็ไม่มีป้ายบอก เดี๋ยวจะเบรคหัวทิ่มแบบเรา
– คนโอมานใจดี ให้ความช่วยเหลือตลอดเลย
Sultan Qaboos Grand Mosque
มัสยิดหลักในเมืองมัสกัต เรียกได้ว่าเป็น landmark ของที่นี่เลยก็ว่าได้ สถาปัตยกรรมสวยงามและยิ่งใหญ่มาก เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ตั้งแต่ 8.30-11 โมงเท่านั้น ปิดวันศุกร์ เนื่องจากเป็นสถานที่ทางศาสนาจึงต้องแต่งตัวให้มิดชิดโดยเฉพาะผู้หญิง ต้องคลุมมีผ้าคลุมศรีษะ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวเท่านั้น หรือจะเช่าชุดที่หน้ามัสยิดก็ได้
ความสวยงามของสถาปัตยกรรมอิสลาม ทำให้ถ่ายรูปมุมไหนออกมาก็ดีไปหมด
หน้าห้องน้ำหญิงของ Grand Mosque
ภาพสะท้อนของมัสยิดบนพื้นหินอ่อน ดูสวยงามไปอีกแบบ
ถนนหน้า Mohammad Al Ameen Mosque
เป็นอีกมัสยิดที่สวยมาก สีขาวล้วน สะอาดตา แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะถ่ายยังไงก็ไม่สวยเท่าของจริง
Muscat City
ใครชอบเมืองสีพาสเทลจะต้องหลงรักที่นี่
Muttrah หรือ Port of Muscat
ย่านการค้าของ Muscat มีทั้งตลาดขายของ ตลาดปลาสด และร้านอาหาร แถวนี้เป็นย่านเมืองเก่า มีเสน่ห์มาก เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ถ้ามาตอนค่ำ ก็จะให้บรรยากาศโรแมนติกหน่อย
ขับรถเลยจากท่าเรือมาไม่ไกล จะเจอชุมชนที่คลาสสิคแบบนี้ เป็นชุมชนสีพาสเทล สวยมาก
ความแออัดของอาคารบ้านเรือนและความดิบของภูเขา คือเอกลักษณ์หนึ่งของประเทศแถบตะวันออกลาง
จากเมืองมัสกัต เราขับรถมุ่งหน้าสู่ Bimmah Sinkhole
ซึ่งระหว่างทางก่อนถึงจุดหมายนั้น เป็นถนนเลียบทะเลพวกเราจึงอดไม่ได้ที่จะแวะถ่ายรูป เพราะทะเลที่นี่น้ำสีสวยและใสมาก
Bimmah Sinkhole
ค่อนข้างตั้งความหวังกับที่นี่ แต่พอไปถึงกลับไม่ค่อยว้าว แต่น้ำใสน่าเล่นมาก ถึงแดดจะเปรี้ยงลงกลางกะบาล แต่น้ำกลับไม่ร้อนแฮะ
Wadi Shab
Wadi คือหุบเขาที่มีลำธารไหลผ่าน และนี่คือ Wadi แรกที่เราไปเที่ยวชม ขับรถจาก Bimmah Sinkhole ประมาณ 30km ก็ถึงโอเอซิสแห่งนี้แล้ว ต้องนั่งเรื่อข้ามฝั่งไป ค่าเรือไปกลับคนละ 1 OMR เท่านั้น
น้ำใน Wadi Shab สะอาดและใสมากจนเห็นปลาเล็กปลาน้อย
เดินเข้าไปอีกเรื่อยๆ จะเจอแอ่งน้ำเป็นระยะ
วันนั้นร้อนมากจนต้องลงเล่นน้ำระหว่างทาง ก่อนจะเดินต่ออีกราวๆ 20 นาที ก็จะถึงถ้ำที่คนในพื้นที่สองคนนี้ชวนพวกเราไปเล่นน้ำ แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปบริเวณนั้นมาเลย เพราะต้องทิ้งกล้องกับกระเป๋าเอาไว้ด้านนอก
ซูมๆต้นอินทผาลัมหน่อย ไอ้ที่ขายกันแพงๆน่ะ
Sur
จาก Wadi Shab ขับรถมาประมาณ 50km ก็ถึงเมืองเล็กๆติดริมทะเลที่มีชื่อว่า “Sur” (ซัวร์ นะ ไม่ใช่ เซอร์) เราหลงรักเมืองนี้มาก เมืองเล็กๆที่น่ารัก
Sunaysilah Fort or Sunaysilah Castle
ที่โอมานนั้นเต็มไปด้วยป้อมปราการและปราสาทเก่า ระหว่างขับรถจะเห็นไปตลอดสองข้างทางเลย ใน Sur ก็มีหลายที่เช่นกัน เดินดูแรกๆก็แปลกตาดี แต่พอหลายๆที่ชักเริ่มเอียนป้อมเอียนปราสาท ที่นี่เสียค่าเข้าคนละ 0.5 OMR
ชุมชนที่อยู่ด้านนอกปราสาท ร้านปิดหมดเลย ช่วงรามฎานแบบนี้ ตอนกลางวันเขาไม่ค่อยออกจากบ้านกัน ดูเป็นเมืองร้างไปเลย
ไม่รู้จะไปไหนก็เลยขับรถเลียบชายหาดเมือง Sur ไปเรื่อยๆ เจอบ้านคนกลางพื้นที่โล่งๆแบบนี้ เซอร์มาก
Al Ayjah Bridge
Landmark ของ Sur ภาพนี้เราถ่ายจากหอคอย Al Ayjah เดี๋ยวเราจะเดินขึ้นป้อมไกลๆนู้น เพื่อไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน
พอขึ้นมาบนป้อม ก็จะเห็นวิวของ Al Ayjah Lighthouse เป็นแบบนี้
อีกหนึ่งจุดยอดนิยมของเมือง Sur ที่จะทำให้คุณเห็นวิวเมืองแบบ 360 องศา ทางขึ้นอยู่หลังโรงแรม Al Ayjah Plaza Hotel
ทะเลอาราเบียน ให้ความรู้สึกสุขุมและลึกลับ
นั่งรอพระอาทิตย์ตกดิน
ยกให้เป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยและโรแมนติกที่สุดในโอมาน
กำลังจะกลับที่พักอยู่แล้วเชียว หันมาเจอมุมนี้ รีบจอดรถแทบไม่ทัน
Wadi Bani Khalid
อีกหนึ่ง Wadi ที่ควรค่าแก่การไปเที่ยว ห่างจากเมือง Sur ออกไปเกือบ 200km ถนนที่เข้าไปถึงที่นี่เป็นทางค่อนข้างลาดชัน แต่ถนนลาดยาง ขับรถไม่ยาก เดินอีก 600 เมตร ก็ถึงตรงนี้แล้ว คนที่นี่เรียกว่า pool เหมือนจะให้ลงไปเล่นน้ำได้ แต่เราขอดูอยู่ห่างๆก็พอ
Al Wasil Desert
มาถึงทะเลทรายโดยปลอดภัย เราจ้างรถของรีสอร์ทให้ไปรับที่ปั๊มน้ำมันก่อนถึงทางเข้าทะเลทราย เพราะการขับรถในทะเลทรายนั้น ถ้าไม่มีทักษะ อย่าริอาจลองเลยดีกว่า รูปนี้ถ่ายจากหน้ารีสอร์ท ดูความเวิ้งว้างนั่นสิ
Sama Al Wasil Desert Camp
ที่พักของพวกเรา เพราะเป็นช่วง low season ทั้งรีสอร์ทเลยมีแขกแค่เราสองคน ให้ความรู้สึก VIP มากจ้ะ ดูแลดีทุกขึ้นตอน ตั้งแต่ต้อนรับยันเสิร์ฟอาหาร อีกนิดนึงคิดว่าเขาน่าจะป้อนข้าวแล้วแหละ
Dining Area
ถึงห้องพัก เก็บของ นอนกลิ้งไปกลิ้งมาสักพัก ก็ออกไป Dune Bashing หรือการนั่งรถเล่นในทะเลทราย เขาจะขับขึ้นลงเนินสูงๆ เสียวท้องมาก ราคา 30 OMR/ช.ม. แพงง่ะ แต่ควรลองนะ ไปถึงนู่นทั้งที
อยากแวะถ่ายรูปตรงไหน ก็ให้คนขับรถจอดได้เลย สะดวกแบบนี้
ทั้งทะเลทรายมีแค่เรา พี่สาว และคนขับรถ
Bahla Fort
อีกหนึ่งป้อมเก่าของโอมานที่ควรไป มีขนาดใหญ่และซับซ้อนพอสมควรเลย ถ้าจะเดินดูให้ครบทุกส่วน ทุกห้องของ Bahla Fort น่าจะใช้เวลาเป็นชั่วโมง เสียค่าเข้าคนละ 0.5 OMR เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 8.30am – 4.00pm ยกเว้นวันศุกร์ ที่เปิดตั้งแต่ 8.00-11.00am
หมู่บ้านที่อยู่ด้านนอกของ Bahla Fort แซมด้วยสีเขียวของต้นอินทผาลัม สวยดี
Jebel Shams
จากทะเลทราย สู่ภูเขาหิน ที่นี่สามารถขับรถขึ้นมาเองได้นะ แต่ควรเป็นรถ 4WD เพราะทางบางช่วงยังเป็นถนนลูกรัง ถ้าใครที่ไม่ได้เช่า 4WD ก็สามารถนัดให้รถของรีสอร์ทที่ไปพักไปรับที่ปั๊มน้ำมันที่ Al Hamra ได้ แต่ต้องจ่ายค่ารถเพิ่ม ราคาค่ารถรับส่งของแต่ละรีสอร์ทก็ไม่เท่ากัน
Sama Heights Resort
เจ้าของเดียวกับ Sama Al Wasil Desert Camp ที่เราไปพักคืนก่อนหน้า พนักงานใจดีเหมือนเดิม โดยเฉพาะคุณลุงที่เป็นหัวหน้าพนักงาน ดูแลพวกเราดีสุดๆ ที่สำคัญอาหารถูกปากมั่กกกกก วิวก็ดีสุดๆ เปิดประตูห้องพักมาก็เจอวิวภูเขาแล้ว
ในส่วนของห้องอาหาร ก็จะเก๋ๆและเป็นกันเองกับธรรมชาติแบบนี้
กิจกรรมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือน Jebel Shams คือ trekking ไปตามเส้นเส้นทางเลาะภูเขา ซึ่งพวกเราเลือกไปตอนเช้า ถ้าเดินแบบ full trail ใช้เวลาไปกลับประมาณสามชั่วโมง แต่เราเดินกันแค่ 40นาที ก็ยอมแพ้แล้ว
เดินๆไปก็เจอแพะภูเขาเป็นหย่อมๆ
Grand Canyon แห่งโอมาน อยู่ที่ Jebel Shams นี่แหละ
Birkat Al Mounz Ruin
หมู่บ้านร้างที่กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ไม่มีคนดูแลแต่กลับไม่อันตราย และไม่น่ากลัวเหมือนบ้านเรา ที่มักเป็นแหล่งมั่วสุมของคนติดยานะ เดินถ่ายรูปเล่นได้สบายเลย นอกจากที่นี่แล้ว ยังมีหมู่บ้านร้างใบบริเวณ Nizwa อีกหลายแห่ง แต่เราว่าที่นี่สวยสุดแล้ว ไปที่เดียวก็เกินพอ
Jumeirah Beach (Dubai)
ก่อนกลับประเทศไทย พวกเราแวะ transit กันที่ Dubai เลยมีเวลาเที่ยวดูไบครึ่งวัน ตั้งใจจะไปชม Burj Khalifa แต่พอมีเวลาเหลือ เลยไปทะเลซะหน่อย ทะเลโอมานที่ว่าน้ำสีสวยแล้ว ทะเลดูไบยิ่งสีสวยกว่า แต่แดดก็ร้อนกว่าโอมานเช่นกัน แตะๆ 50 องศา เท่านั้นเอง
Burj Khalifa
พ่อพระเอกของเรา ยอมเสียค่าวีซ่าราคา $77 มาเพื่อเห็นความอลังการกับตาตัวเอง ตอนเห็นไกลๆรู้สึก ว้าว ในความสูงเสียดฟ้าของมันมาก แต่พอได้เข้าไปใกล้ๆ กลับไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจแฮะ บางอย่าง มองจากที่ไกลๆแล้วประทับใจกว่าจริงๆแหละ
ปิดอัลบั้มด้วยภาพ Burj Khalifa ในยามค่ำคืน