Hotel Muse Bangkok สำหรับ Bangkok Staycation 002 เราเลือกมาพักที่ Hotel Muse Bangkok ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ในลิสอันดับต้นๆ ของเราเลย เพราะเป็นโรงแรมที่อยู่ใจกลางกรุงเทพ ไปไหนมาไหนสะดวก และมีดีไซน์ที่สวยงาม เมื่อเราก้าวเท้าเข้าไป ก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุค ค.ศ.1920 ยุคที่ในอเมริกามีความหรูหรา ฟูฟ่ามากๆ แบบในหนัง Great Gatsby ทั้งขนนก ไข่มุก ปาร์ตี้ และการเดินทาง ถ้าเป็นในไทยก็ช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเอง การตกแต่งของโรงแรมเป็นการผสมผสานทั้งวัฒนธรรมตะวันตกและะวันออกเข้าด้วยกัน เริ่มจากบริเวณ Lobby ที่มีการตกแต่งเป็นโต๊ะทำงานในยุคเก่า ตัวผมเลยจินตนาการไปว่าตัวเองเดินทางมาฝากเงินที่ธนาคารกริงก็อตส์ ในแฮรรี่ พอตเตอร์ 5555 นอกจากการตกแต่งที่สวยงามแล้ว ในส่วนต่างๆของโรงแรมก็จะเต็มไปด้วย inspiration ต่างๆ มากมายให้เราได้ค้นพบ พร้อมผ่อนคลายตลอดการเข้าพัก ปล. เรารู้สึกว่าโรงแรมนี้เซ็กซี่มาก เหมาะแก่การชวนแฟนมา Staycation มาทานอาหาร มา Rooftop เอ่าไปชวนแฟนไป
#hotelmuse #accorhotels
เราจะพาไปดูห้องพักและทุกห้องอาหารเลย ตามมาครับทุกคน
Le Salon หรือ ที่แปลว่าห้องนั่งเล่น อยู่ด้านหน้าติดกับทางเข้าโรงแรม เป็นคาเฟ่เล็กๆ โดยการตกแต่งห้องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนต์เรื่อง Titanic
บริเวณ Lobby
โต๊ะทำงานวินเทจ
เราพักห้องแบบ Jatu Deluxe ซึ่งในห้องมีการตกแต่งที่สวยงามแบบย้อนยุคตามธีม เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างดูเข้ากันหมด มีโต๊ะทำงาน มีลำโพงสำหรับเสียบไอพอต เตียงนุ่มสบาย ผ้าปูขลิบสีดำหรูหราสวยงาม และมุมที่เราชอบที่สุดอีกมุม ก็คือ โซฟาที่อยู่ติดหน้าต่าง เพราะทำให้เราได้นั่งจิบชายามบ่ายรับแสงแดดอ่อนๆ ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับวิวเมือง
ตอนบ่ายๆจะมีพนักงานเอาผลไม้มาให้
เตียงคือความนุ่มที่แท้จริง
ห้องน้ำ ฟีลลิ่งเซ็กซี่
สระว่ายน้ำของโรงแรมก็ถือว่าเป็นไฮไลท์ของโรงแรมเหมือนกัน ตรงที่จะเห็นวิวของเมืองแบบเต็มๆ เรียกว่าว่ายน้ำไปชมวิวไป ส่วนตัวเราชอบวิวตอนกลางคืนนะ ชอบมองแสงไฟจากตึกต่างๆที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
นอกจากนั้นก็ยังมีห้องฟิตเนส และ ซาวน่าด้วย ครบเลย
เรายังมีโอกาสได้แอบย่องไปดูห้อง Paranim Penthouse ที่มีอยู่เพียงห้องเดียวในโรงแรม สวยงามกว้างขวางอยากจะย้ายของมาอยู่ที่นี่มากๆๆเลย
ห้องนั่งเล่น
ห้องน้ำวิวเมือง ดีมากๆ
บริเวณระเบียง ตอนกลางคืนคงชิลน่าดู
The Speakeasy
ห้องอาหารที่อยู่ชั้นบนสุดชั้นที่ 24 การตกแต่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก New York ในปี 1920 หรือจากหนังเรื่อง Great Gatsby นั่นเอง ในชั้นนี้จะแบ่งเป็นหลายส่วน มีทั้ง ห้องกระจก, ห้องเล็กๆที่เรียกว่า Blind Pig แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดคือ Rooftop Bar ที่เราได้นั่งทานอาหาร จิบค็อกเทล ชมวิวเมือง ไปพร้อมๆกันแนะนำให้มาช่วง 5 โมงเย็นแสงตอนพระอาทิตย์กำลังตกดินสวยมากๆ ประกอบกับวิวตึกของกรุงเทพ ดูไปดูมาแล้วคิดว่าตัวเองอยู่นิวยอร์ก
ฟ้าหลังฝน
ห้องลับ Blind Pig
มาคราวนี้เรามากัน 4 คนเลยสั่งค่อนข้างเยอะนิดนึงและจิบไปซะหลายแก้วเลย เริ่มแก้วแรกเลยคือ
G & T อันนี้ทานง่าย เหมาะกับผู้หญิง เป็นน้ำผลไม้ผสม ลิ้นจี่ แอปเปิ้ล ดอกอัญชัน Aloe Vera และแตงกวา ผสมด้วย Gin กับ Tonic
Speak Easy Lobster Club เป็นของทานเล่นเรียกน้ำย่อยก่อนทานจริง เป็นแซนวิชสอดไส้
Rock lobster, avocado, grilled capsicum, เบค่อน และใบ rocket อันนี้ดีมากชอบ ใครมาต้องสั่งนะ
Mix Tapas platter สั่งมาเป็น Starter อีกเหมือนกันดีจริงๆ
Citrus Colin หอมอร่อย เป็นผลไม้ตระกูลส้มทั้งหลาย ดื่มแล้วสดชื่นหวานหน่อยๆ
กระเพราหมูกรอบ อันนี้อร่อยคลาสสิก
แพนงเนื้อ คือเราว้าวมาก สั่งมาแล้วไม่ผิดหวังเลย คือเค้าใช้เนื้อวัว จากออสเตรเลีย แล้วน้ำแพนงเข้มข้นหอมสมุนไพร เป็นแพนงที่ดีจริงๆ
Wasabi Martini อันนี้แปลกดี เป็น Gin ผสม ชาเขียว ความเก๋อยู่ตรงที่เสิร์ฟกับ Salmon Aburi เราทาน salmon ไปก่อนแล้วค่อยดื่ม จะได้กลิ่นวาซาบิติดที่ปลายจมูก หอมแปลกดี ประสบการณ์ใหม่
Bacon Old Fashioned
เหมือนเพิ่มระดับดีกรีความแรง แก้วนี้หน้าตาสวยงาม แต่จริงๆแล้ว เหมือน on the rock คือหนักแน่นมาก ตอนดื่มจะได้กลิ่นเบค่อนลมควันกับกลิ่นส้ม หอมแบบหนักแน่น
วิวยามพระอาทิตย์ตกดิน
อีกอย่างนึงที่เราตื่นเต้นมากคือ ในห้องอาหารนี้จะมีประตูลับซ้อนอยู่ ที่สามารถพาไปห้องอาหารชั้น 25 ได้ด้วย ใบ้ให้ว่าอยู่แถวๆห้องน้ำ ถ้าใครหาไม่เจอลองถามพนักงานได้นะ ซึ่งบนชั้น 25 ก็จะเป็นที่นั่งชิลที่เห็นวิวเมื่อง 360 องศา และยังมีไพรเวทรูมให้ด้วยนะ
หลังจากดื่มบน Rooftop พอสมควรก็เริ่มหิวเลยลงมาทานอาหารที่ Medici Kitchen& Bar
เป็นห้องอาหารอิตตาเลี่ยน ที่อยู่บริเวณชั้น Lower ground Floor เดินลงบันไดวนตรง Lobby ไปได้เลย
ห้องอาหารนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนต์เรื่อง Got Father มีถังเบียร์หรือโครงสร้างเหล็กๆ เหมือนนั่งอยู่ในโรงเบียร์ สำหรับอาหารเราก็ได้เชฟชาวอิตตาเลี่ยนมาแนะนำด้วยตัวเองเลย
Soft southern Italian buffalo cheese with cherry tomatoes, rocket salad, basil pesto and Parma ham จานนี้อร่อยมาก หอมชีสและพาม่าแฮม ทานด้วยกันแล้วเข้ากันสุดๆ
Scallop 3 ways
เป็นหอยเชล์ตัวอวบๆ ย่างพร้อมซอส 3 รส มี ถั่วแมชบอร์ด ฟักทอง และบีทรูท อร่อยกลมกล่อม
จานนี้เชฟมาทำให้ให้ดูข้างๆโต๊ะเลย คือเอาพาสต้าไปผัดในพาเมซาน ให้ดูเลยอะ หอมชีสแบบรมควันนิดๆ
Rosemary risotto ข้าวอิตาเลี่ยน กับ snow fish อบ จานนี้อร่อยแบบละมุนลิ้น
เนื้อ Angus กับ foie gras และเห็ด black truffle เลอค่า
ปิดท้ายด้วย Florence‘s dome จะเป็นเค้ก อยู่ในโดมช๊อกโกแล๊ต แล้วมีผลไม้ผลไม้แห้งโรยรอบๆ เป็นของหวานที่อลังการที่สุดที่เคยทานมา คือเชฟจะเอาส่วนผสมมาโรยและอธิบายให้ดูตรงหน้าเลย ความพีคอยู่ที่มีจุดไฟและโรยผงให้เกิดประกายไฟ ดั่งร่ายมนต์ พีคมาก ทุกโต๊ะคือหันมามอง
ห้องจตุ ยามค่ำคืน
แช่โฟมก่อนนอน ผ่อนคลายขั้นสุด กลิ่นบอดี้โลชั่น และบับเบิ้ลบาธของที่นี่ดีมาก หอมติดผิว กลิ่นแบบน้ำหอมอ่อนๆ
ก่อนนอนจะมีแม่บ้านมาจัดรองเท้าพร้อมผ้าปูไว้ข้างเตียงให้
สำหรับอาหารเช้า เรามาทานที่ชั้น 19 ชื่อว่า Babette’s – The Steakhouse Bangkok การตกแต่งของห้องนี้ มาจากยุค 1920 ของ Chicago มีอาหารเช้าหลากหลาย ทานไปนั่งชมวิวไป นอกจากอาหารเช้าแล้ว ห้องอาหารนี้ยังเปิดบริการทั้งวันสำหรับลูกค้า โดยอาหารจานเด็ดของที่นี่คือสเต๊กตามชื่อเค้านี่แหละครับ
วิวจากห้องอาหาร
ของโปรด
ถือเป็นการเริ่มต้นวันอย่างสดใส และจบทริปได้อย่างสมบูรณ์แบบ